ปิดบริษัท ด้วยตัวเอง เราช่วยเตรียมเอกสาร จดทะเบียนเลิก – ชำระบัญชี – ทำงบการเงินและตรวจสอบ – ประสานงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายและบริการครอบคลุมทั่วประเทศ พิเศษ ค่าบริการแค่ 9,000 บาท
เงื่อนไขบริการ
-
รับเฉพาะ บริษัท (หรือห้างหุ้นส่วน) ที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
-
และ เป็นบริษัทที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจ (หรือ งบเปล่า)
ค่าบริการ 9,000 บาท
- ครอบคลุม ค่าจัดเตรียมเอกสาร เพื่อจดทะเบียนเลิกบริษัท จดทะเบียนชำระบัญชี ค่าทำบัญชี ค่าสอบบัญชี
- ไม่รวม ค่าธรรมเนียม-กรมพัฒน์ ฯ 1,260 บาท
- ไม่รวม ค่าโฆษณาและส่งเชิญประชุม 1,200 บาท (อาจไม่จำเป็นต้องจ่าย แล้วแต่กรณี)
ระยะเวลา 30 วัน
- วันที่ 1 ท่านตัดสินใจจ้าง
- วันที่ 2 นาราฯ ส่งเอกสารให้ท่าน ทางไปรษณีย์
- วันที่ 4 ท่านนำเอกสาร ไปจดเลิกบริษัท/ ห้างหุ้นส่วน ณ กรมพัฒน์ฯ (เสร็จงาน จะได้ หนังสือรับรอง เลิกบริษัท) ท่านส่งภาพทางไลน์ ให้นารา
- วันที่ 5 – 6 นาราฯ จัดทำงบการเงิน พร้อมผู้ตรวจสอบบัญชี ลงลายมือชื่อ
- วันที่ 7 นาราฯ ส่งเอกสารให้ท่าน ทางไปรษณีย์
- วันที่ วันที่ 10 – 15 เมื่อได้รับเอกสาร ท่านดำเนินการยื่นภาษี สำหรับงบเลิกบริษัท
- วันที่ 29 ท่านนำเอกสาร ไปจด เสร็จชำระบัญชี ที่กรมพัฒน์ฯ อีกครั้ง (เสร็จงาน จะได้รับ หนังสือรับรอง เสร็จชำระบัญชี) ท่านส่งภาพทางไลน์ให้นารา
รายชื่อลูกค้า ที่ให้บริการสำเร็จ ในระหว่าง ปี 2564
ถาม - ตอบ ปิดบริษัท ด้วยตัวเอง
ถาม 1 - ระยะเวลา เร็วสุดสำหรับ การปิดบริษัท ขนาดเล็กๆ ใช้เวลา นานแค่ไหนคะนารา - ปกติ ความหมายของขนาดเล็ก นั้น ยังมีความหมายไม่ชัดเจนครับ ผมขอยกตัวอย่าง เป็นแบบ งบเปล่า หรือ งบไม่ดำเนินงาน นะครับ และจะเอาแบบเร็วสุดก็ 22 วันครับ (ถ้ามีการประชุมจริงก็ต้องบวกเพิ่มอีก 14 วันนะครับ)
อย่างไรเสีย กรณีมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ท่านต้องนำยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบเปล่า) ต่อไปอีก 6 เดือน จนกว่า กรมสรรพากรจะออกเอกสารการอนุมัติให้ออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยปกติแล้วจะไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่คืนใบทะเบียน (ขั้นที่ 3) สงสัย เพิ่มเติม ติดต่อ บริษัท นาราการบัญชี จำกัด โทร 080 173 2000, 080 174 2000 หรือ 080 175 2000 |
ถาม 2 - ทราบมาว่า กำไรสะสม ที่เหลือในบัญชี ต้องเสียภาษีด้วย เหรอคะ ถ้าไม่ทำจ่าย ได้ไหมคะตอบ - ครับ ตามกฎหมาย ต้องทำการจ่ายปันผล และเสียภาษีให้ครบถ้วนก่อน ครับ จึงจะดำเนินการปิดบริษัทได้ ขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้นะครับ กรณี ที่เงินปันผล ต้องจ่ายให้กับ บุคคลธรรมดา (ส่วนใหญ่ลูกค้า ที่จดทะเบียนเลิก กับ นาราการบัญชี เป็นแบบนี้ครับ) บริษัทต้องทำจ่ายเงินปันผล และหักภาษี ณ ที่จ่ายใน อัตรา 10% โดยส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้ไปเคลียร์ในขั้นตอน การตรวจสอบของ สรรพากร ครับ ซึ่งแน่นอนว่า อยู่หลังวันเลิก - จดทะเบียนเลิก (ปิดบริษัท) ดังนั้น ก็อาจมีค่าปรับแบบ สำหรับการยื่นย้อนหลังกลับมา ณ วันจดทะเบียนเลิก แต่มันก็ง่ายกว่า ที่จะทำทันที เพราะบางครั้งก็ไม่โดนเรียกตรวจ หรือ เมื่อถูกเรียกตรวจ ก็ให้เจ้าหน้าที่ได้ผลงาน ในการตรวจสอบ ทำให้เราปิดบริษัทได้ง่ายกว่า ครับ หมายเหตุ
|
ถาม 3 - บริษัท ได้แจ้งเลิกประกอบกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558 และ ได้ดำเนินการยื่นแบบ ภ.ง.ด 50 ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2558 ไว้แล้ว สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2558 จนถึงวันที่ชำระบัญชีเสร็จ ถ้าระยะเวลาการชำระบัญชีเกินกว่า 12 เดือน บริษัทฯ ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 หรือไม่ คะตอบ - บริษัท ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวไว้แล้ว แต่การชำระบัญชียังไม่เสร็จสิ้น ให้ถือว่า บริษัทฯ ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี ตามมาตรา 1249 แห่งประมวลแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น บริษัทฯ จึงยังมีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และ แบบ ภ.ง.ด.51 พร้อมงบการเงินต่อไป จนกว่าจะได้จดทะเบียนการชำระบัญชีเสร็จ โดยมีรอบระยะ เวลาบัญชีเริ่มตั้งแต่วันถัดจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก) โดยแต่ละรอบบัญชี ต้องไม่เกิน 12 เดือน หรือ 1 ปี |
ถาม 4 - กรณีห้างฯ ได้แจ้งเลิกประกอบกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แต่ไม่ได้ยื่นแบบ ภ.พ. 09 ห้างฯ มีสิทธิออกใบกำกับภาษีหรือไม่ และผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการจากห้างฯ มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ห้างฯ เรียกเก็บไปหักออกจากภาษีขายได้หรือไม่ตอบ - กรณีห้างฯ แจ้งเลิกกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว ห้างฯ มีหน้าที่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลง ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.09) พร้อมคืนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ณ สถานที่ที่ได้ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ภายในสิบห้าวันนับจากวันเลิกประกอบกิจการ ตามมาตรา 85/15 แห่ง ประมวลรัษฎากร แต่ห้างฯ มิได้ยื่นแบบ ภ.พ.09 และยังคงประกอบกิจการ ออกใบกำกับภาษี ยื่นแบบ ภ.พ. 30 พร้อมทั้งชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นปกติจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น ห้างฯ จึงมีความผิดกรณีที่ไม่แจ้ง เลิกประกอบกิจการและคืนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับตามมาตรา 90(8) และมาตรา 90/1(5) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อห้างฯ ยื่นแบบ ภ.พ. 09 แล้ว ห้างฯ ยังคงรับผิดในฐานะ ผู้ประกอบการจดทะเบียนต่อไป โดยยังคงมีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.พ.30 ไม่ว่าจะได้ขายสินค้าหรือให้บริการ ในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม จนกว่าอธิบดีจะสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ห้างฯ ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ทั้งนี้ ตามมาตรา 83 มาตรา 85/19(2) และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร นับแต่วันที่แจ้งเลิกประกอบ กิจการเป็นต้นไป อีกทั้งไม่สามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียไปในระหว่างวันที่แจ้งเลิกประกอบกิจการ ถึงวันที่อธิบดีสั่งขีดชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนออกจากทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมาถือเป็นภาษีซื้อ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร |
ถาม 5 - บริษัทเราได้รับ การส่งเสริมการลงทุน BOI และกำลังวางแผนที่จะปิดบริษัท สามารถทำได้เหมือนกับบริษัทปกติหรือไม่ หรือมีขั้นตอนการดำเนินการปิดบริษัท แต่งต่างเพิ่มเติมอย่างไรตอบ - การปิดบริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จะมีขั้นตอนการปิดแตกต่างจากปกติครับ ดังนี้
|
ถาม 6 - ผมได้ปิดบริษัท และเสร็จชำระบัญชี ไปแล้ว แต่ได้รับเอกสาร การถูกประเมินภาษี จากกรมสรรพากร แบบนี้เป็นไปได้เหรอครับ ผมควรติดต่อกลับไปหา สรรพากรไหมครับตอบ - เป็นไปได้ครับ แต่ไม่ค่อยได้เจอ ในกรณีแบบนี้ ส่วนใหญ่ จะเรียกเก็บค่าเงินเพิ่ม หรือ ค่าปรับเพิ่มเติม จากถูกตรวจสอบในครั้งก่อนๆ หรือ เกิดจากคู่ค้าถูกตรวจสอบ แนะนำให้เข้าพบและจัดการปัญหาให้จบนะครับ อันที่จริง กรมสรรพากร ก็เข้าใจบริษัทนะครับ และก็ต้องการให้บริษัทปิดอย่างถูกต้องเช่นกัน อ้างอิง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ยังบัญญัติว่า ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท หรือผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น หรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี |
ถาม 7 - บริษัทมีที่ดิน ซึ่งคาดว่าจะขายได้กำไร กว่า 2 เท่า หรือ กว่า 35 ล้านบาท ไม่ทราบว่าควรวางแผนขายที่ดิน แปลงนี้อย่างไร หรือ ควรแบ่งกันหลังจากปิดบริษัทแล้วตอบ - แนะนำให้ดำเนินการขายที่ดิน ให้เรียบร้อยก่อนปิดบริษัทครับ เพราะการเสียภาษีจะอยู่ในรูปของเงินปันผล กล่าวคือ ถูกหัก ภาษีหัก ณ ที่จ่ายแค่ 10% และผู้ได้รับเงินปันผล (ผู้ถือหุ้น) ก็มีสิทธิเลือกว่าจะนำไปรวมเพื่อเสียภาษีหรือไม่ กล่าวคือ อย่างมากก็เสียภาษีในอัตรา 10% แต่ถ้านำที่ดินแปลงนี้ ไปขายหลังปิดบริษัท หรือโอนให้ผู้ถือหุ้น อัตราการคำนวณภาษีจะต่างไป กล่างคือ ผู้ได้รับ (มีถิ่นที่อยู่ในไทย และสียภาษีในไทย) ต้องเสียภาษีจากรายได้ส่วนนี้ (เกินกว่าเงินลงทุน) ในอัตราก้าวหน้า ซึ่งฐานภาษีจะสูงกว่า และ กรณีเป็นผู้รับต่างชาติ (ไม่มีถิ่นที่อยู่ และเสียภาษีในไทย) ต้องถูกหัก ในอัตรา 15% |